สตม.จับ 3 คดีใหญ่ รายแรกรวบผัวเมียฟิลิปปินส์ลอบส่งออกกัญชา-จับหนุ่มแดนโสมส่งยาเสพติดออกนอกประเทศ-อีกคดีจับแก๊งผิวสีหลอกขายทองแอบสลับเงินเก๊สูญกว่า 1.1 ล้านบาท

0
68

วันที่ 10 เม.ย.67 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม.,พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ปริญญา กลิ่นเกษร รอง ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม.ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 3 ราย

1.กก.สส.บก.ตม.1 จับกุมนายโจ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สัญชาติฟิลิปปินส์ และนางแมรี่ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติฟิลิปปินส์ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ดำเนินคดีตามกฎหมาย จับกุมที่ทาวน์โฮมย่านแขวงและเขตประเวศ กรุงเทพฯ สืบเนื่องจากเมื่อต้นปี 2567 ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับการประสานข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการจากหน่วยงานความมั่นคงประเทศฟิลิปปินส์ เกี่ยวกับการจับกุมกัญชาอบแห้งล็อตใหญ่ บรรจุอยู่ในลังพัสดุซีนแน่นหนา น้ำหนักรวมกว่า 10 กิโลกรัม ซึ่งถูกตรวจพบโดยสำนักงานศุลกากร ในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปลายเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับกัญชาอบแห้งนั้นยังเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้ผลกำไรตอบแทนจากการส่งกัญชาจากประเทศไทยไปยังกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์นั้นมีมูลค่าสูงมาก โดย standard street price ของกัญชาดังกล่าวเมื่อถูกลำเลียงถึงประเทศฟิลิปปินส์จะมีมูลค่ามากถึง 1,200 เปโซต่อกรัม หรือประมาณ กรัมละ 975 บาท (รวมมูลค่าเกือบ 10 ล้านบาท) ซึ่งต้นทางของกัญชาที่ถูกตรวจยึดดังกล่าวมาจากบริษัทขนส่งพัสดุแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่มีชาวฟิลิปปินส์พักอาศัยอยู่มาก ชุดสืบสวนจึงได้เริ่มลงพื้นที่หาข่าวเกี่ยวกับบริษัทขนส่งในบริเวณดังกล่าวเรื่อยมา
ต่อมาในช่วงเดือนมี.ค.2567 กก.สส.บก.ตม.1 ได้ข้อมูลผู้นำส่งพัสดุล็อตดังกล่าว คือนายโจ (นามสมมติ) และนางแมรี่ (นามสมมติ) สองสามีภรรยาชาวฟิลิปปินส์ เมื่อตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบไบโอเมตริกซ์แล้วพบว่าทั้ง 2 ราย อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดแล้วกว่า 9 ปี จึงได้สืบสวนหาที่พักอาศัยจนกระทั่งทราบว่าทั้ง 2 รายพักอาศัยอยู่ในทาวน์โฮมในย่านเขตประเวศ กรุงเทพฯ โดยเพิ่งย้ายมาเช่าบ้านดังกล่าวอยู่ได้ไม่ถึง 3 สัปดาห์ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบเมื่อพบตัวจึงได้จับกุมดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว นอกจากนี้ คนต่างด้าวทั้ง 2 ราย จะต้องถูก สตม. ขึ้นบัญชีรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นเวลานานถึง 10 ปี ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 เรื่อง การไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักร

2.กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายลี (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย จับกุมที่โรงแรมย่านสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก กก.4 บก.สส.สตม.ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานตำรวจสากลสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ประจำกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าได้รับแจ้งจากสายลับมีชายชาวเกาหลีใต้ก่อเหตุลักโทรทัศน์ในคอนโดมิเนียมที่ชายชาวเกาหลีใต้นั้นเช่าพักอาศัยแล้วนำไปขาย เมื่อเจ้าของห้องทราบเรื่องชายชาวเกาหลีใต้นั้นได้ปีนกำแพงหลบหนี โดยผู้เสียหายได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่ สน.พระโขนง จึงได้ทำการสืบสวนพบว่าชายชาวเกาหลีใต้รายนี้คือ นายลี ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้วเป็นเวลา 4,004 วัน และพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมย่านสุขุมวิท จึงไปตรวจสอบและตรวจดูกล้องวงจรปิดพบว่าชายชาวเกาหลีใต้คนดังกล่าวคือนายลี จึงเข้าจับกุมนายลีดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายลี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการเกาหลีใต้ในความผิดฐาน “ขนส่งยาเสพติดข้ามชาติ” โดยได้ขนส่งยาเสพติดจำนวน 500 กรัม เข้าสู้ประเทศเกาหลีใต้ ผ่านทางกล่องพัสดุ และยังเป็นภัยความมั่นคงต่อสาธารณรัฐเกาหลีใต้ และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL Red Notice) อีกด้วย

3.กก.1 บก.สส.สตม.จับกุมและเพิกถอนวีซ่า นายคานู (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติเซียร์ราลีโอน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.129/2567 ลงวันที่ 5 ก.พ.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ลักทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย จับกุมที่คอนโดย่าน อโศก–รัชดา (พระรามเก้า) แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ พร้อมกับเพิกถอนวีซ่าของนายซีเซ่ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติไลบีเรีย ดำเนินการตามกฎหมาย
จากการตรวจสอบมีผู้เสียหายร้องเรียนว่า ถูกแก๊งคนต่างชาติชาวผิวสีหลอกให้ลงทุนซื้อขายทองคำแล้วถูกแอบสลับเงินนำธนบัตรดอลลาร์สหรัฐปลอมมาแทนสูญเงินกว่า 1.1 ล้านบาท เกิดเหตุเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ผู้เสียหายและเพื่อนได้มีการติดต่อซื้อขายทองคำกับชายชาวผิวสี ทราบชื่อคือนายเควิน และนายซีเซ่ โดยนายซีเซ่ แจ้งว่ามีทองคำเม็ดเล็ก ๆ ต้องการจะขายให้กับผู้เสียหาย ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 ผู้เสียหายพร้อมด้วยสามีและเพื่อนหญิงชาวไทยได้ขอนำเม็ดทองไปตรวจสอบ โดยนายคานูได้ให้เม็ดทองมาจำนวน 15 เม็ด เมื่อนำไปตรวจสอบที่โรงหลอมทองผลปรากฏว่าเป็นทองคำจริง ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อตกลงร่วมลงทุนซื้อขายทองคำ ตกลงซื้อขายกันที่ กก.ละ 34,700 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้เสียหายจึงได้ไปแลกเงินเพื่อเตรียมซื้อขาย ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 ได้นัดกันไปส่งมอบเม็ดทองที่โรงแรมย่านสุขุมวิท โดยได้แบ่งเงินไว้ที่ผู้เสียหายจำนวน 3,500 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อเป็นค่านายหน้าให้กับผู้แนะนำ ส่วนสามีผู้เสียหายได้นำเงิน จำนวน 31,200 ดอลลาร์สหรัฐ ไปให้นายคานูตรวจนับภายในห้องที่เกิดเหตุ โดยผู้เสียหายขอให้นำเม็ดทองทั้งหมดไปตรวจสอบก่อน จึงจะมอบเงินให้ นายเควิน และนายคานู ทำท่าทีไม่พอใจและพูดจาโต้เถียงกับสามีผู้เสียหายจนกระทั่งสามีผู้เสียหายเผลอจึงได้แอบสับเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐปลอมที่เตรียมมากับเงินดอลลาร์สหรัฐจริงของผู้เสียหาย โดยสามีผู้เสียหายไม่ทันรู้ตัว จากนั้นทำทียอมไปตรวจสอบเม็ดทองที่โรงหลอมก่อน สามีผู้เสียหายจึงได้เก็บเงินดอลลาร์สหรัฐที่ถูกสับเปลี่ยนไปแล้วใส่กระเป๋าสะพายแล้วพากันไปขึ้นรถของผู้เสียหาย เมื่อขับรถออกไปได้สักระยะ นายเควิน และนายคานู ออกอุบายขอลงจากรถเพื่อไปซื้อกาแฟแล้วได้หายตัวไป ผู้เสียหายจึงเริ่มสงสัยและได้นำเงินดอลลาร์สหรัฐที่ถูกสับเปลี่ยนแล้วไปแลกที่ซุปเปอร์ริช จึงรู้ว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินปลอม จึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาตามภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด ในความผิดฐาน ลักทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จำนวน 2 ราย จึงได้สืบสวนจนพบว่าผู้ต้องหาตามหมายจับทั้ง 2 รายคือนายเควิน และนายคานู และได้ทราบว่ามีนายซีเซ่ ร่วมขบวนการด้วย จึงได้เร่งสืบสวนติดตามจับกุมจนจับกุมนายคานู และนายซีเซ่ ได้นำตัวส่ง สน.ลุมพินี และเพิกถอนวีซ่าดังกล่าว ส่วนนายเควิน ได้หลบหนีออกนอกประเทศไทยไปก่อนหน้านี้แล้ว
จากการสอบถามนายคานู ให้การยอมรับว่า ได้ร่วมกันกับนายซีเซ่ และนายเควิน เพื่อนชาวผิวสี ชักชวนหลอกลวงให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนซื้อขายทองคำจริง หลังจากได้เงินดอลลาร์จากผู้เสียหายแล้วได้นำเงินมาแบ่งเท่าๆ กัน