วันที่ 20 ส.ค. 68 ที่ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร กทม. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนา หัวข้อ “สมรภูมิข่าวสารในวิกฤติความขัดแย้งไทย-กัมพูชา” โดยมีวิทยากรผู้บรรยาย ประกอบด้วย ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ดร.สังกมา สารวัตร สาขานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร พลตรี ธีรวุฒิ วิทยากรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และนายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวไทยพีบีเอส
พลตรี ธีรวุฒิ วิทยากรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวว่า โลกปัจจุบันเข้าสู่ยุค “Hybrid Warfare” หรือสงครามลูกผสม ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรบทางทหาร แต่รวมถึงสงครามข่าวสารด้วย โดยอ้างอิงรายงานจาก World Economic Forum 2025 ที่ระบุว่าปัญหา Misinformation (ข้อมูลที่ผิด) และ Disinformation (ข้อมูลเท็จ) ได้แซงหน้าปัญหาสงครามและความขัดแย้งทางทหารขึ้นเป็นปัญหาอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ภัยไซเบอร์อยู่ในอันดับที่ 5
พลตรี ธีรวุฒิ เผยว่า ในช่วงก่อนเกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทาง สกมช. ได้ตรวจพบการโจมตีทางไซเบอร์จากกลุ่มที่สนับสนุนกัมพูชาต่อหน่วยงานของไทยหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เว็บไซต์ใช้งานไม่ได้ หรือการเปลี่ยนหน้าเพจ เพื่อเป็นปฏิบัติการคู่ขนานไปกับการรบที่ชายแดน
อย่างไรก็ตาม พลตรี ธีรวุฒิ มองว่าสื่อไทยทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม โดยเฉพาะใน 4 ด้านหลัก ได้แก่:-ไม่ลงภาพทางทหาร ซึ่งช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูล -คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ด้วยการเบลอภาพผู้เสียชีวิต-รวมกลุ่มตรวจสอบข้อมูล เช่น Thai PBS Verify และ Cofact เพื่อสกัดกั้นข้อมูลเท็จ -ให้ความร่วมมือกับ สกมช. ในการไม่เผยแพร่ข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม
พลตรี ธีรวุฒิ ยังได้เสนอให้สื่อปรับปรุงเรื่องการใช้ภาพหรือข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ รวมถึงการทำ “Clickbait” ที่สร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชน และเน้นย้ำว่าในยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ ทุกฝ่ายควรมีจิตสำนึกความเป็นมืออาชีพและร่วมกันตรวจสอบข้อมูลเพื่อลดความเกลียดชัง
ดร. ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ปัญหาข้อมูลเท็จเป็นภัยความมั่นคงที่คนไทยต้องทำความคุ้นเคย และสร้างภูมิคุ้มกันในการคัดกรองข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลจาก AI Deepfake ที่แยกแยะได้ยาก ดร.ชำนาญระบุว่าในอดีตเราไม่เคยเผชิญกับ State Actor หรือผู้กระทำโดยรัฐในสงครามข่าวสารมาก่อน ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นความปกติใหม่ที่ต้องปรับตัว
นอกจากนี้ ดร.ชำนาญยังชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องของคนบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ใช่คนทั้งประเทศ ดังนั้นสื่อจึงควรเป็น “เสาที่ 4 ของสังคม” ที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และมุ่งเน้นการสื่อสารเพื่อสันติภาพมากกว่าการสร้างความเกลียดชัง รวมถึงเสนอให้สำนักข่าวต่างๆ จัดตั้งหน่วย Fact-checking เป็นของตัวเอง เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวไทยพีบีเอส ซึ่งลงพื้นที่ชายแดน กล่าวว่า สื่อในต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในครั้งนี้ยังยอมรับว่าสื่อของไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้ความร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคงเป็นอย่างดี แต่ก็มีข้อควรระวังในการรายงานข่าวในยุคดิจิทัล เช่น การใช้สมาร์ทโฟนที่อาจเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งได้โดยไม่ตั้งใจ
นายก่อเขตกล่าวว่า ไทยพีบีเอสให้ความสำคัญกับการรายงานข่าวชายแดนในหลายมิติ ไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติการทางทหาร แต่เน้นที่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้าใจร่วมกันในเรื่อง Single messages หรือการสื่อสารที่มีความเป็นเอกภาพจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลที่ออกไปมีความน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่อสันติภาพของทั้งสองประเทศ
ดร.สังกมา สารวัตร สาขานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียมีส่วนสำคัญในการปั่นความเกลียดชังอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ได้รับข่าวสารจากอินฟลูเอนเซอร์มากกว่าสื่อกระแสหลัก แต่ในขณะเดียวกัน สื่อต่างประเทศก็ได้ชื่นชมว่าไทยไม่ได้มี Single gateway ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายและเป็นประชาธิปไตย
ดร.สังกมา ได้สรุปบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ไว้ 3 คำสำคัญ ได้แก่ Information Warfare (สงครามข้อมูล), Professional Journalism (วารสารศาสตร์แบบมืออาชีพ) และ People’s Voice (เสียงของประชาชน) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่สื่อมวลชนและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างเพื่อให้การสื่อสารในช่วงวิกฤติเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน