ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.,พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

กก.1 บก.สส.สตม.จับกุมนายตง (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 525/2568 ลงวันที่ 19 พ.ค.68 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำไปซึ่งเงินฝากสาธารณะอย่างผิดกฎหมาย (ออกหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน) นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีน สถานที่จับกุม บ้านพักในพื้นที่ หมู่ 14 ต.ลี้ อ.ลี้ จว.ลำพูน
สืบเนื่องจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศแจ้งการร้องขอให้ทางการไทยจับกุมตัวชั่วคราวนายตง (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี สัญชาติจีน เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีในความผิดฐานนำไปซึ่งเงินฝากสาธารณะอย่างผิดกฎหมาย ความเสียหายกว่า 339 ล้านหยวน (กว่า 1,542 ล้านบาท) และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE) ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอให้ออกหมายจับชั่วคราวต่อศาลอาญา และได้ส่งหมายจับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้ดำเนินการสืบสวนจับกุม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้สั่งการให้ บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามจับกุมนายตง (สงวนนามสกุล) ตามหมายจับของศาลอาญาดังกล่าว ผบก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามจับกุม จากการสืบสวนพบว่า นายตง ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยมีถิ่นพำนักอยู่ในพื้นที่ จว.ฉะเชิงเทรา เมื่อรู้ว่าตัวเองมีเจ้าหน้าที่คอยสืบสวนติตตาม จึงได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ในบ้านพักในพื้นที่ หมู่ 14 ต.ลี้ อ.ลี้ จว.ลำพูน จึงไปตรวจสอบและวางแผนจับกุม จนกระทั่งพบนายตงขณะยืนอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการจับกุม จากการสอบถามนายตง ไม่ยอมให้การใด ๆ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ เพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 ต่อไป

อีกคดีด้วยวันที่ 3 มิ.ย.68 บก.สส.สตม. ได้รับประสานจากเจ้าหน้าที่สำนักงานศุลกากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ทท. กรณีตรวจพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติไต้หวัน จำนวน 3 คน ลักลอบนำโทรศัพท์มือถือ จำนวน 19 เครื่อง ผ่านเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางเครื่องแสกนสัมภาระของสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อทำการตรวจสอบภายในสัมภาระเบื้องต้นพบว่า โทรศัพท์มือถือทั้ง 19 เครื่อง มีความเชื่อมโยงทางบัญชีทางการเงินของผู้ต้องหาที่หลอกลวงให้ผู้เสียหายในประเทศไทยโอนเงิน โดยตรวจพบหมายเลขบัญชีจากโทรศัพท์มือถือตรงกันกับบัญชีผู้ต้องหาในเคส ไอดี แจ้งความออนไลน์กับระบบ thaipoliceonline ที่ผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีไว้แล้วหลายท้องที่เกิดเหตุ ทั้งในพื้นที่ บช.น. และ ภ.6
โดยมีรูปแบบการหลอกลวง เป็นลักษณะหลอกลวงขายของทางออนไลน์, หลอกเติมเงินทางออนไลน์, หลอกลวงแลกเงินออนไลน์ เมื่อผู้เสียหายโอนเงินให้แล้วก็ไม่ได้มีการส่งของหรือเติมเงินให้กับผู้เสียหาย พบความเสียหายกระจายวงกว้างในหลายพื้นที่ เบื้องต้นพบมูลค่าความเสียหายกว่าหลักแสนบาท จากการตรวจสอบในระบบสารสนเทศ ตม. พบว่าบุคคลต่างด้าวทั้ง 3 ราย ไม่เคยเดินทางเข้ามาในประเทศไทย มาก่อน และสืบสวนพบว่าบุคคลต่างด้าวทั้ง 3 ราย มีประวัติอาชญากรรมจากประเทศไต้หวัน โดยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงฟอกเงินและเล่นการพนัน
บก.สส.สตม. จะได้ขยายผลความเชื่อมโยงทางการเงินไปยังผู้ต้องหารายอื่นเพิ่มเติมต่อไป โดย ผบก.สส.สตม. ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว ทั้ง 3 ราย เนื่องจากมีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคมฯ จากนั้นจึงได้ควบคุมตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. ดำเนินการตามกฎหมาย และประสานงานไปยังท้องที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป