ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชณทัต ปัทะมะภูวดล หรือ”แม็ค” ผู้ก่อตั้งเพจ”ชณทัต ลุยครับ” พร้อมด้วยผู้ประกอบการตู้คีบที่ได้รับความเดือดร้อน จากคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย ที่ให้ผู้ประกอบการตู้คีบ หรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ หยุดให้บริการ เพื่อรอตรวจสอบเกี่ยวกับธุรกิจตู้คีบหรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติดังกล่าวทั่วประเทศ หลังพบว่ามีกลุ่มพ่อค้าที่ประกอบธุรกิจตู้คีบตุ๊กตา ลักษณะเดียวกันที่มาจากประเทศจีน เข้าทำธุรกิจในประเทศไทยจำนวนมาก โดยพบว่าหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ประกอบธุรกิจ ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของรัฐบาล โดยการวางตู้คีบตุ๊กตาตู้คีบสินค้าในพื้นที่ต่างๆหลายแห่ง โดยไม่เข้าตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จึงส่งผลทำให้กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจตู้คีบ หรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ กว่า 30 ห้างร้านดังทั่วประเทศที่จดทะเบียนการค้าอย่างถูกต้อง ได้รับผลกระทบด้านธุรกิจขาดทุนกว่า 1,000 ล้านบาท จึงต้องการเรียกร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
โดยทางด้านตัวแทนผู้ประกอบการร้านตู้คีบ หรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติรายหนึ่งที่ทำธุรกิจในห้างดังย่านรังสิต กล่าวเปิดเผยว่า หลังจากได้มีคำสั่งเพื่อให้ธุรกิจตู้คีบฯ หยุดกิจการเพื่อรอตรวจสอบธุรกิจตู้คีบทั่วประเทศ แบบยังไม่กำหนด และที่ตนดูแลนี้ก็ถูกสั่งหยุดกิจการเป็นระยะเวลากว่า 2 อาทิตย์แล้ว ส่งผลทำให้ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเช่าร้าน เพราะไม่ได้เปิดร้านแต่ก็ยังคงต้องจ่ายค่าเช่าและค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างคนดูแลร้านและบางส่วนเป็นเด็กนักศึกษาฝึกงานพาร์ทไทม์ต้องขาดรายได้ ไม่มีงานทำ จึงได้มีการรวมตัวของผู้ประกอบธุรกิจเดียวกันที่เสียภาษีทุกอย่างถูกต้องต้องมาร้องขอความช่วยเหลือจากคุณชณทัต ปัทะมะภูวดล “แม็ค” เจ้าของเพจ ชณทัต ลุยครับ เพื่อขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ด้าน แม็ค ชณทัต กล่าวว่า เบืองต้นได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการทั่วประเทศกว่า 30 ห้างร้าน เนื่องจากได้เข้าร้องเรียนกับทางเพจแม็คชณทัตลุยครับ ว่ามีกลุ่มธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาบางแบบ จากประเทศจีนที่ผิดกฎหมายนำเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเป็นการนำเข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง เลี่ยงการเสียภาษีสรรพสามิต ไม่มีการจดทะเบียนการค้าและวางตั้งตู้คีบตุ๊กตาเกลื่อนตามจุดต่าง ๆ ทั้งริมถนน ตลาดนัด หน้าร้านค้าทั่วๆไป ตามซอย ตามชุมชนมากมาย ซึ่งต่างจากตู้คีบตุ๊กตาที่ตั้งตามจุดภายในห้างดังและที่ถูกกฎหมาย รวมทั้งมีคนดูแลถูกต้องตามระเบียบ แต่กลับมีคำสั่งให้ถูกหยุดกิจการไปก่อน เมื่อผู้ประกอบการทั่วทั้งประเทศถูกปิดกิจการจึงมีความเดือดร้อน พร้อมกับรวมตัวกันเดินทางเข้ามาร้องเรียนกับทางเพจ ว่าห้างร้านทั่วประเทศยอมจ่ายเสียภาษีเข้าระบบอย่างถูกต้อง มีการสำแดงการเสียภาษีหมดทุกอย่าง แต่ถูกเอาเปรียบจากกลุ่มผู้ค้าธุรกิจตู้คีบตุ๊กตาที่นำเข้า จากประเทศจีน ที่เลี่ยงการเสียภาษี ซึ่งทาง รัฐบาลควรเข้าเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อความถูกต้องของกลุ่มธุรกิจที่เป็นของคนไทยและเป็นอาชีพที่สุจริต สร้างสรรค์ จึงอยากขอความเป็นธรรมเพื่อเข้าช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจตู้คีบหรือตู้ขายสินค้าอัตโนมัติทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนธุรกิจสร้างสรรค์ที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจอีกธุรกิจหนึ่ง เพราะไม่เช่นนั้นโครงสร้างทางด้านธุรกิจก็พังกันทั่วประเทศ จึงอยากต้องการขอให้ทางรัฐบาลและท่านนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ช่วยเหลือ
เบื้องต้นตนและทีมงานจะได้เข้าตรวจสอบและไล่ดูแต่ละจุดที่มีการติดตั้งตู้คีบตุ๊กตา ในแต่ละพื้นที่ แต่เบื้องต้นพบว่าหลายพื้นที่ถูกปิดกิจการจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามห้างร้านหรือร้านสะดวกซื้อใหญ่ใหญ่ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ จากนี้จะรวบรวมทำหนังสือร้องเรียนและนำเรื่องเข้าสู่ขบวนการขอความยุติธรรมให้กับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจตู้คีบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะได้ยื่นเรื่องกับท่านพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และดูข้อกฎหมายที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการให้ความยุติธรรมกับผู้ประกอบการ ซึ่งอยากให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้ความเห็นใจในการประกอบธุรกิจ สำหรับธุรกิจที่เป็นแนวคิดใหม่กับยุคสมัยใหม่นี้ เพื่อให้ระบบกฎหมายสอดคล้องกันกับธุรกิจในยุคสมัยนี้
แม็ค ชณทัต ยังกล่าวอีกว่า โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และผู้ประกอบการสมาคมธุรกิจเครื่องเล่นเกมอาเขตและการขายสินค้าอัตโนมัติ ได้จัดการประชุมหารือร่วมกันผลักดันแนวทางการขับเคลื่อน ธุรกิจเกมอาเขต ตู้คีบและตู้ขายสินค้าอัตโนมัติในห้างสรรพสินค้าให้ดำเนินการอย่างถูกกฎหมายและโปร่งใส
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องเล่นเกมอาเขตและตู้คีบของรางวัลจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้กว่า 30 ราย ต่างมีความตั้งใจเดียวกันในการผลักดันให้เกิดการจัดระเบียบอุตสาหกรรมให้ชัดเจน เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นกิจกรรม เพื่อความบันเทิงและสร้างสรรค์ ที่สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปีและหากมีการบริหารจัดการและควบคุมให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างชัดเจน คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็น มากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย
แม็ค ชณทัต กล่าวเพิ่มว่า จากปัญหาที่ได้รับเรื่องร้องเรียน จากผู้ประกอบการถึงคำสั่งของ กระทรวงมหาดไทยที่ผ่านมา ที่มีการตีความครอบคลุมตู้คีบและตู้เกมทุกประเภท ทำให้ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและชำระภาษีอย่างโปร่งใสได้รับผลกระทบโดยตรง จึงเกิดการรวมตัวของภาคเอกชนเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา เสนอข้อคิดเห็นและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อหน่วยงานรัฐ เพื่อให้เกิดการจัดระเบียบที่แยกแยะระหว่าง “ธุรกิจสร้างสรรค์เพื่อความบันเทิง” กับ “กิจกรรมที่เข้าข่ายการพนัน” อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
การประชุมครั้งนั้นยังเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อสร้างระบบนิเวศของธุรกิจสร้างสรรค์ที่โปร่งใส เป็นมิตรต่อเยาวชนและเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศ โดยยึดหลัก “ทำถูกกฎหมาย โปร่งใส ตรวจสอบได้” เพื่อให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมเครื่องเล่นเกมที่เติบโตได้อย่างยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลต่อไป







